กะหล่ำปลี เป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดที่น่าสนใจมาก เพราะเป็นส่วนประกอบของอาหารหลายอย่าง เนื่องจากมีคุณค่าในทางอาหารสูง มีรสชาติดี หวานกรอบ รับประทานได้ทั้งดิบและสุก มีอายุการเก็บรักษาได้นาน และทนทานต่อการขนส่งพอสมควร เรียกได้ว่าน่าปลูกมากทีเดียว ทางเราได้เรียบเรียงวิธีการปลูกกะหล่ำปลีแบบสั้นๆเข้าใจง่ายไว้ในบทความนี้ เพื่อใช้เป็นแนวทางสำหรับคนที่สนใจปลูก
เลือกเมล็ดพันธุ์ที่มีคุณภาพ มีเปอร์เซ็นต์การงอกสูง ในเมืองไทยปลูกพันธุ์เบาจะได้ผลดีที่สุด เพราะเป็นพันธุ์ที่ไม่ต้องการอากาศหนาวมากนัก มีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น กะหล่ำปลีพันธุ์เบาที่ปลูกได้ผลดีมีหลากหลายพันธุ์ เช่น กะหล่ำปลี เบอร์ 1 ตรารถถัง , กะหล่ำปลี เบอร์ 1 ตราช้าง , กะหล่ำปลี เอมเมอร์รัลด์ , กะหล่ำปลี ที-530 และ กะหล่ำปลี ที-523 เป็นต้น
หลังเตรียมแปลงเสร็จให้หว่านเมล็ดกะหล่ำปลีให้กระจายทั่วแปลง หรือถ้าเราอยากให้เป็นแถวอาจจะทำร่องลึกประมาณ 1 เซนติเมตร ห่างกันแถวละ 15 เซนติเมตร แล้วโรยเมล็ดลงในร่องหว่านกลบเมล็ดด้วยปุ๋ยหมักหรือดินละเอียด จากนั้นรดน้ำให้ชุ่มแล้วคลุมด้วยฟางแห้งบางๆ หลังจากต้นกล้างอกได้ 15 – 20 วัน ให้เลือกถอนต้นที่ไม่สมบูรณ์ออกและให้ทิ้งระยะห่างต้น 10 เซนติเมตร จนกระทั่งอายุประมาณ 25 – 30 วัน จึงย้ายไปปลูก
เวลาย้ายควรย้ายในช่วงเวลาบ่ายๆ ถึงเย็น ตอนย้ายควรให้ดินติดรากมาด้วยและต้องระวังไม่ให้รากขาด แล้วรีบนำลงปลูกจากนั้นกดดินรอบโคนให้แน่นทันทีก่อนรดน้ำให้ชุ่ม เมื่อปลูกเสร็จแล้วควรทำร่มบังแดดให้ในวันรุ่งขึ้น อาจใช้กะลาครอบ หรือใช้ไม้บังรอบๆก็ได้ ควรปิดบังแดดไว้ประมาณ 3 – 4 วัน ค่อยเอาออก
1. เมื่อปลูกได้ราว 15 วัน ใส่ปุ๋ยจำพวกไนโตรเจน เช่น ยูเรีย 46% (46-0-0) หรือแอมโมเนียมซัลเฟต 21% (21-0-0) ให้ต้นละ 1 ช้อนชา ปุ๋ยจำพวกนี้จะช่วยให้ใบงาม
2. เมื่อปลูกได้ 30 วัน ทำการพรวนดินรอบ ๆ โคนต้น ใส่ปุ๋ยสูตร 12-8-8 ต้นละ 2 ช้อนชา หรือใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักแทน ต้นละ 1 กำมือ กลบดิน แล้ววันรุ่งขึ้นค่อยรดน้ำ
3. ในการให้ปุ๋ยกะหล่ำปลีแต่ละครั้งควรผสมธาตุอาหารเสริมพวกโบรอน, สังกะสี อย่างเช่น ไฮเปอร์ พลัส ตรานกอมตะ เพราะมีความจำเป็นแก่พืชตระกูลกะหล่ำมาก
ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ วันละ 1 – 2 ครั้ง ในระยะแรกให้รดน้ำด้วยการฉีดเป็นฝอยในช่วงเช้าและเย็นทุกวัน จนกระทั่งหัวเริ่มเข้าปลีให้ลดปริมาณการรดน้ำลงเพื่อป้องกันไม่ให้หัวปลีแตกและไม่ห่อหัว โดยปกติถ้าไม่รดน้ำมากจนเกินไปก็จะไม่มีปัญหาเรื่องการเข้าหัวของปลีมากนัก
ในบางครั้งถ้ากะหล่ำปลีหลวม ห่อหัวไม่แน่นเราก็จำเป็นที่จะต้องให้อาหารเสริมบ้าง อย่างเช่น อาหารเสริมพืช ไวกิ้ง ตราแพลน นำไปผสมน้ำแล้วพ่นทุกๆ 7 วัน จะทำให้กะหล่ำปลีห่อหัวแน่นและมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
ถ้าเป็นพันธุ์เบาเราจะเก็บเกี่ยวได้ตอนอายุประมาณ 50 – 60 วัน โดยใช้มีดที่คมตัดบริเวณส่วนโคน ซึ่งกะหล่ำปลีจะมีน้ำหนักประมาณ 1-2 กิโลกรัม/ต้น การเก็บในระยะที่เหมาะสมจะได้หัวที่สมบูรณ์ ถ้าเก็บขณะอ่อนเกินไปหัวจะไม่แน่น จะเสียขนาดและน้ำหนัก แต่ถ้าทิ้งไว้นานเกินไปหัวจะหลวม ทำให้คุณภาพของหัวกะหล่ำปลีลดลง เสียรสชาติ ไม่ได้ราคา ฉะนั้นเวลาเก็บเกี่ยวควรสังเกตหัวที่แน่นจะดีที่สุด
สาเหตุ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
อาการ ในระยะแรกพบเป็นจุด ๆ หรือบริเวณมีลักษณะฉ่ำน้ำคล้ายรอยช้ำ ต่อมาแผลจะขยายลุกลามออกไป ทำให้เกิดการเน่าเละเป็นเมือกเยิ้มมีกลิ่นเหม็นจัด เมื่ออาการรุนแรงจะทำให้กะหล่ำปลีเกิดการเน่าเละทั้งหัวและหักพับลง
การป้องกันกำจัด
1. ในแปลงปลูกควรมีการระบายน้ำที่ดี น้ำไม่ขังแฉะ
2. ใช้สารกำจัดแมลงปากกัดหรือแมลงวันในแปลงปลูกด้วยการโรย ไดโนทีฟูแรน รอบโคนต้น
3. ระมัดระวังอย่าให้เกิดแผลหรือรอยช้ำทั้งขณะเก็บเกี่ยวและขนส่ง
สาเหตุ เกิดจากเชื้อรา
อาการ ถ้ามองจากด้านบนใบจะเห็นเป็นปื้นสีเหลืองจางๆ พลิกใต้ใบขึ้นมาดูหลังใบจะเห็นขุยสีขาวๆในช่วงอากาศเย็นและมีน้ำค้าง พบมากในระยะกล้า
การป้องกันกำจัด
1. คลุกเมล็ดด้วย สาร เมทาแลกซิล
2. ถ้าไม่ได้คลุกเมล็ดก่อนปลูก แล้วเกิดอาการโรคราน้ำค้างให้ฉีดพ่นด้วย สาร เมทาแลกซิล หรือ แมนโคเซบ
การทำลาย หนอนใยผักจะกัดกินผักอ่อน ดอกหรือใบที่หุ้มอยู่ทำให้ใบเป็นรูพรุน นอกจากนี้หนอนใยผักมีความสามารถในการทนต่อสารเคมี และปรับตัวต้านทานต่อสารเคมี
ป้องกันกำจัดได้ดี
การป้องกันกำจัด
1. ใช้สารเคมีกำจัดตัวหนอนโดยตรง อย่างเช่น ไซเพอร์เมทริน, เดลทาเมทริน, โพรฟีโนฟอส, อะบาเมกติน ผสมน้ำพ่นทุกๆ 7 วัน/ครั้ง
2. ใช้เชื้อแบคทีเรียบาซิลลัสทรูรินเจนซิส ทำลาย
3. หมั่นตรวจดูแปลงกะหล่ำปลี เมื่อพบตัวหนอนควรรีบทำลายทันที
การทำลาย หนอนคืบกะหล่ำเป็นหนอนที่กินจุมาก ในระยะแรกตัวหนอนจะกัดกินที่ผิวใบ พอโตขึ้นจะกัดกินใบทำให้เป็นรอยแหว่งจนเหลือแต่ก้าน
การป้องกันกำจัด
1. ใช้กับดักกาวเหนียวสีเหลือง 80 กับดักต่อไร่
2. ใช้สารเคมีกำจัดหนอน ถ้าหากพบหนอนคืบกะหล่ำระบาดพ่นด้วย โพรฟีโนฟอส ที่ผสมน้ำประมาณ 7 วัน/ครั้ง
การทำลาย หนอนจะเจาะเข้าไปกัดกินในหัวหรือยอดผักที่กำลังเจริญเติบโต ทำให้ยอดขาดไม่เข้าหัว ถ้าระบาดในระยะออกดอกจะเจาะเข้าไปในลำต้น ก้านดอก หรือในระยะเล็กจะกัดกินดอกจนเสียหาย
การป้องกันกำจัด
1. เลือกกล้าผักที่ไม่มีไข่หรือหนอนเล็กติดมา
2. ใช้สารเคมีในการป้องกันกำจัด ถ้าหากเป็นแหล่งปลูกผักที่ไม่ค่อยได้ใช้สารเคมีกันมาก่อนควรใช้ เมวินฟอสหรือเมทโธมิล ใช้ในระยะใกล้เก็บผักสด แต่ถ้าเป็นแหล่งที่เคยปลูกผักและมีการใช้สารเคมีมาแล้วควรเลือกใช้สารในกลุ่มไพรีทรอยด์ อย่างเช่น ไซเพอร์เมทริน พ่นประมาณ 7 วัน/ครั้ง
ด้วงหมัดผัก จะพบการทำลายได้ตลอดปี ป้องกันโดยการฉีดพ่นสารเคมีกลุ่มคาร์บาเมด อย่างเช่น คาร์โบซัลแฟน(พอส) หรือ ฟิโพรนิล ฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน
มด จะทำลายช่วงก่อนกล้างอก สังเกตได้จากทางเดินของมดป้องกันกำจัดโดยใช้ คาร์โบซัลแฟน(พอส) และคูมิฟอส รดแปลงกล้า
ค่าเมล็ดพันธุ์ | 800 |
ค่าเตรียมดิน | 2250 |
ค่าแรงงานในการเก็บเกี่ยวผลผลิต | 6000 |
ค่าปุ๋ย | 2000 |
ค่าสารป้องกันและกําจัดศัตรูพืช | 600 |
รวม |
11650 |
หน้าที่เข้าชม | 10,979 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 9,282 ครั้ง |
เปิดร้าน | 24 ก.ย. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 29 ก.ย. 2568 |